รีวิวหนัง Return to Oz (1985) – พ่อมดออซ ภาค 2

หลังจาก “The Wizard of Oz” กลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์คลาสสิกที่ตราตรึงหัวใจคนดูทั่วโลก ดิสนีย์ก็เคยพยายามพาเรากลับสู่ดินแดนมหัศจรรย์แห่งนั้นอีกครั้งในปี 1985 กับ Return to Oz หรือชื่อไทยว่า พ่อมดออซ ภาค 2 — ภาพยนตร์ที่เปี่ยมด้วยบรรยากาศลึกลับ หนาวเยือก และเต็มไปด้วยพลังแห่งความมืดในดินแดนที่เราเคยคิดว่าแสนสดใส

ต่างจากภาคแรกที่เต็มไปด้วยเพลงและความฝัน Return to Oz ไม่ได้พยายามจะเป็นนิทานก่อนนอน แต่มันคือ “ฝันร้าย” ที่โอบล้อมด้วยความจริงของเด็กหญิงคนหนึ่งที่กำลังต่อสู้กับความโดดเดี่ยวและจินตนาการของตนเอง ภาพยนตร์กำกับโดย Walter Murch และนำแสดงโดย Fairuza Balk ในบทของ “โดโรธี เกล” เวอร์ชันที่โตขึ้นเล็กน้อยหลังกลับจากออซ — เธอพยายามเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ผู้ใหญ่ฟัง แต่ไม่มีใครเชื่อ จนถูกส่งไปยังโรงพยาบาลจิตเวชเพื่อรักษา “ความหลงผิด” นั้นด้วยไฟฟ้า

ตรงนี้เองที่เรื่องเริ่มพลิกเข้าสู่ความหลอน — โดโรธีหลบหนีจากโรงพยาบาลในคืนฝนตกและจู่ ๆ ก็กลับไปยัง “ออซ” อีกครั้ง แต่ดินแดนที่เธอจำได้กลับพังพินาศ บ้านเมืองถูกทำลายด้วย “โนมคิง” (Nome King) ผู้ชั่วร้าย และเหล่าหุ่นล้อโลหะที่เดินด้วยเสียงกึกก้อง เสมือนโลกแห่งฝันที่ถูกยึดครองโดยฝันร้าย เธอจึงต้องออกเดินทางใหม่อีกครั้งเพื่อช่วยเหลือเพื่อน ๆ เก่า — แต่คราวนี้พวกเขาไม่ใช่สิ่งที่เคยรู้จักอีกต่อไป

หนึ่งในจุดเด่นของ Return to Oz คือการออกแบบโลกที่มืดหม่นแต่งดงามแบบงานสต็อปโมชั่นและพร็อพจริงทุกชิ้น “เมืองมรกต” (Emerald City) ที่เคยเจิดจรัสในภาคแรก กลับกลายเป็นซากหินที่ถูกทำลายจนเหลือแต่เศษกระจกและหัวหุ่นคนปูน มันชวนขนลุกแต่ก็มีความเป็นศิลปะเฉพาะตัวมากๆ บวกกับเสียงประกอบและซาวด์ดนตรีที่สร้างความรู้สึกเหมือนอยู่ในโลกที่หลุดออกจากความฝัน

โดโรธีได้พบกับเพื่อนใหม่ในโลกใหม่นี้ เช่น แจ๊ค พัมพ์กิ้นเฮด หุ่นฟักทองหัวโตที่มีหัวไม้พายเป็นร่างกาย, ทิคท็อก หุ่นทองแดงกลไกที่กลายเป็นผู้ช่วยสุดเท่ และ เจ้าหญิงมอมบี้ ผู้หญิงที่สามารถถอดหัวตัวเองและเปลี่ยนเป็นหัวของคนอื่นได้ตามใจชอบ — ตัวละครทั้งหมดเหมือนออกมาจากหนังสือเทพนิยายผสมฝันร้ายในยุคโกธิค จน Return to Oz กลายเป็นหนังดิสนีย์ที่ “หลอนที่สุด” ในช่วงเวลานั้น

หากมองในเชิงโครงเรื่อง หนังมีจังหวะการเล่าที่ไม่เร่งรีบ มันค่อย ๆ เปิดเผยโลกที่บิดเบี้ยวและความจริงในใจของโดโรธีทีละน้อย ความจริงอาจไม่ใช่แค่ว่าออซถูกทำลาย แต่อาจสะท้อนถึงจิตใจของเด็กหญิงที่ไม่อยากเติบโต การหนีเข้าจินตนาการคือทางรอดเดียวจากโลกที่ไม่เชื่อเธออีกต่อไป และเมื่อเธอต้องเลือกกลับสู่โลกจริงอีกครั้ง เธอก็เรียนรู้ว่าความกล้าไม่จำเป็นต้องอยู่ในความฝันเสมอไป

สำหรับผู้ชมยุคใหม่ Return to Oz อาจดูแปลกและไม่เหมือนดิสนีย์ทั่วไป มันไม่มีเพลงไพเราะ ไม่มีตัวละครน่ากอด ไม่มีแม่มดสีเขียวที่ร้ายแบบการ์ตูน แต่มันกลับให้ภาพของ “จิตใต้สำนึก” ที่ทำงานผ่านความกลัว ความทรงจำ และการยอมรับอดีต Fairuza Balk แสดงได้ยอดเยี่ยมในบทเด็กหญิงที่ทั้งแข็งแกร่งและบอบบางในเวลาเดียวกัน เธอแบกทั้งหนังไว้ด้วยพลังทางสายตาและอารมณ์ที่เกินอายุจริงของนักแสดงวัยเพียง 11 ปี

แน่นอนว่าหนังไม่ใช่สำหรับทุกคน — เด็กเล็กอาจกลัว ส่วนผู้ใหญ่บางคนอาจมองว่ามันช้าและมืดเกินไป แต่ถ้ามองในมุมของงานศิลปะและความกล้าในการสร้าง Return to Oz คือหนังที่ “กล้าเสี่ยง” ที่สุดเรื่องหนึ่งของดิสนีย์ยุคนั้น และเวลาผ่านไปหลายสิบปี มันได้กลายเป็น “cult classic” ที่มีแฟนกลุ่มเฉพาะชื่นชอบทั่วโลก

สำหรับผม มันคือภาคต่อที่ไม่พยายามเลียนแบบต้นฉบับเลยแม้แต่น้อย มันมีหัวใจของตัวเอง—แปลก หลอน แต่งดงามในแบบที่ยากจะหาได้จากหนังแฟนตาซีเรื่องไหนยุคนั้น และเมื่อย้อนกลับไปดูอีกครั้ง มันยังคงเต็มไปด้วยพลังของจินตนาการที่ไร้กรอบและคำถามทางจิตวิทยาที่ลึกซึ้งมากกว่าที่คาดคิด

คะแนน IMDb: 6.7/10
คะแนนผู้เขียน: 8/10 — สำหรับความกล้า ความแตกต่าง และความงามในความมืดที่หาได้ยากในหนังเด็ก

Author: sumting

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *